กสิกรไทยเปิดกองตราสารหนี้ เน้นลงทุนหลากหลายทั่วโลก


     


นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ได้จัดตั้งกองทุนตราสารหนี้น้องใหม่ชื่อ กองทุนเปิดเค โกล. ไดนามิก บอนด์ (K-GDBOND) ที่มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Nomura Global Dynamic Bond Fund, Class I (acc) - USD ที่ลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภททั่วโลก เน้นสร้างผลตอบแทนรวม (Total Return) ที่ดีอย่างสม่ำเสมอจากกระแสรายรับดอกเบี้ย (Income) และการเติบโตของเงินลงทุน (Capital Gain) ทั้งนี้ มีกำหนดเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 28 กันยายน - 4 ตุลาคม 2564

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ความน่าสนใจของกองทุน K-GDBOND อยู่ที่ 1) กลยุทธ์การลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง บริหารพอร์ตแบบไร้ข้อจำกัดทางการลงทุน (Unconstrained) ครอบคลุมตราสารหนี้ทุกประเภทจากทั่วโลก ทั้งตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี (Investment Grade) และตราสารหนี้ High Yield ทำให้สามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลาได้ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 2) การบริหารความเสี่ยงผ่านการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ เพื่อช่วยจำกัดความเสี่ยงจากการขาดทุน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ต และ 3) การบริหารจัดการโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูง การันตีได้จากผลการดำเนินงานของกองทุนหลักที่อยู่ใน Top Quartile อย่างสม่ำเสมอ และติดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ส.ค. 64)

“จากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประธาน Fed ได้ส่งสัญญาณจะทำการปรับลดวงเงิน QE (QE Tapering) ภายในปีนี้ แต่ยังไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ตลาดคลายความกังวลลง โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะประกาศแนวทางการทำ QE Tapering อย่างเป็นทางการในการประชุมเดือนกันยายนหรือพฤศจิกายน และจะเริ่มลดครั้งแรกภายในปลายปีนี้ โดยจะเป็นการทยอยลดวงเงินที่ 1-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2565 หรือ ต้นปี 2566 ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเริ่มเห็นการปรับเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น (Normalization) ทั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก และนโยบายการเงินต่างๆ ที่ได้มีการผ่อนคลายมาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้จะมีการปรับลดความผ่อนคลายลง ซึ่งอาจสร้างความผันผวนให้ตลาดเป็นระยะๆ อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนไปในทุกประเภทสินทรัพย์ในสัดส่วนและระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนแต่ละคนรับได้” นายนาวินกล่าว