เศรษฐกิจเงาของประเทศไทย

Beer625

  • *****
  • 2322
    • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
เศรษฐกิจเงาของประเทศไทย
« เมื่อ: สิงหาคม 28, 2021, 08:43:36 pm »


มีการพยากรณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าจะโตประมาณ 1.3% ของจีดีพี ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นการเติบโตจากจีดีพีที่ติดลบในปีที่แล้ว ในขณะที่มีแสงสว่างวับแวมจากตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6 เดือนก็ประมาณ 16% นั่นก็เป็นการเพิ่มขึ้นจากการติดลบในปีที่แล้ว และส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกษตร ส่วนด้านอุตสาหกรรมเรากำลังมีปัญหาเรื่องกำลังการผลิต เพราะแรงงานจำนวนมากต่างติดโควิด ทำให้การจะผลิตเพิ่มเพื่อตอบสนองตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัวมีอุปสรรค

อย่างไรก็ตามอย่าพึ่งตกใจกับการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่เต็มที่จะได้ 1.3% ของจีดีพี บางสำนักคาดว่าอาจติดลบถึง -0.5% ด้วยซ้ำ เพราะตัวเลขที่ปรากฏนี้มันเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระบบหรือเป็นทางการ

แต่เศรษฐกิจใต้ดินนั้นเมื่อเปรียบเทียบจากงานวิจัยต่างๆที่ได้ศึกษา เศรษฐกิจเงา เศรษฐกิจใต้ดิน หรือเศรษฐกิจนอกระบบนั้นอาจจะมีขนาดการเติบโต 2-3 เท่า ของเศรษฐกิจในระบบ

ก่อนที่จะติดตามต่อไปถึงสาเหตุและแนวโน้ม ของเศรษฐกิจเงาผู้เขียนขอกลับมาทำความเข้าใจกับคำจำกัดความของเศรษฐกิจแบบนี้เสียก่อน

เศรษฐกิจเงาหรือ SHADOW ECONOMY หรือระบบเศรษฐกิจใต้ดิน หมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ หรือรับรู้เป็นทางการจากรัฐ จึงไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของประเทศ โดยส่วนใหญ่ของธุรกิจเงาจะเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าประเวณี รวมไปถึงธุรกิจที่ถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในระบบการเสียภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าขายเล็กๆน้อยๆ หรือการทำธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋น อย่างแชร์ลูกโซ่ เป็นต้น

มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้นที่ทำการศึกษาถึงเศรษฐกิจเงาในประเทศไทย ทั้งนักวิจัยไทย และต่างประเทศ และลงตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ เช่น Friedrich Schmeder และ Andreas Burhn ใน The Global Economy : The Shadow Economy in Thailand หรืองานวิจัยของ Anotai Buddhari และ Pornsawan Rugpenthum ชื่อ A .ter Understanding of Thailand’s Informal Sector ใน FAQ ฉบับที่ 156 July 9,2019 ยังมีผลงานใน Quora.com โดย Pas Sean ในหัวข้อ What is the Size of Thailand’s Shadow Economy? นอกจากนี้ยังมีอีกงานที่น่าสนใจ คือ เขียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจเงา ชื่อหัวข้อ Tourist Arrivals and Shadow Economy : Waveletbased Evidence From Thailand : โดย Sinha,Avik et al,ใน Tourrism Analysis, Vol 26,No.2-3 , 2021

ที่ผู้เขียนอ้างอิงงานวิจัย 2-3 งานนี้เพื่อให้ทราบว่าเรื่องเศรษฐกิจเงาของประเทศไทยเป็นที่สนใจของนักวิจัยในหลายประเทศ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาสูงในระดับต้นๆของโลก ดังปรากฏในหลายๆงานวิจัย ในที่นี้จะขอแบ่งประเภทเป็นกลุ่มประเทศ ตามรายงานของ Global Economy ดังนี้

1.กลุ่มประเทศพัฒนา มีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาประมาณ 17% ของจีดีพี

2.กลุ่มประเทศปานกลาง ประมาณ 35%-40% ของจีดีพี แต่มีข้อน่าสังเกตคือประเทศไทยที่ถือว่าเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง มีสัดส่วนของเศรษฐกิจเงา อยู่ระหว่าง 40%-50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงานวิจัยที่บางส่วนไม่นับการค้ายาเสพติดบางส่วนนับด้วย

3.กลุ่มประเทศยากจนมีสัดส่วนเศรษฐกิจเงาเกินกว่า 40% ของจีดีพีขึ้นไป

ส่วนเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้ โดยเฉพาะขนาดใหญ่ คือ ธุรกิจการฟอกเงิน ซึ่งได้แก่การโอนเงินระหว่างประเทศด้วยวิธีการต่างๆ เช่น โพยก๊วน หรือ Off Shore Banking อย่างลาบวนของมาเลเซีย เวอร์จินไอร์แลนด์ หรือ บาฮามาส์ หรือตลาดหุ้นและสุดท้ายคือ Crypto Currency เช่น Bitcoin เป็นต้น

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ตัวผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือการบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมละเลย หรือคอร์รัปชัน ทั้งนี้ยังนับรวมถึงตัวกฎหมายเอง ซึ่งเป็นดาบสองคม ถ้าเข้มงวดเกินไป หรือลงโทษรุนแรงมาก อาจกลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าพนักงานใช้ในการรีดไถเงินจากผู้ต้องหาได้เป็นจำนวนเงินที่มากขึ้น แต่หากหละหลวมมีช่องว่างก็อาจทำให้ผู้ต้องหาหลีกเลี่ยงเล็ดลอดไปได้ แม้แต่เรื่องภาษีอากร หรือหนี้นอกระบบที่ขูดรีดอย่างทารุณ

ดังนั้นที่ผู้เขียนกล่าวว่าการประเมินว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.3% ของจีดีพีในปี 64 นี้ แต่เศรษฐกิจเงาอาจโตมากกว่า 2-3 เท่าของเศรษฐกิจในระบบ ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่ข่าวดี แต่ก็ทำให้เกิดช่องทางในการหากินนอกระบบมากขึ้น เพราะธุรกิจในระบบมันหดตัวรุนแรง จนตกงานหางานใหม่ยาก ธุรกิจ SME ปิดตัว จึงต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเข้าไปสู่เศรษฐกิจเงา

ประกอบกับมีการปล่อยตัวนักโทษเป็นจำนวนหลายหมื่นคนทั้งที่ครบกำหนด ทั้งการผ่อนผัน หรือการอภัยโทษเพื่อลดความแออัดในคุก อันเป็นทางที่คิดว่าจะลดปัญหาการแพร่กระจายโควิด แต่ตรงกันข้ามอาจจะเป็นการกระจายการแพร่เชื้อก็ได้

ในขณะเดียวกันผู้ต้องโทษเหล่านี้ แม้ในยามปกติก็หางานยากอยู่แล้ว ครั้นมาเจอปัญหาโควิดแพร่ระบาดก็ยิ่งหางานสุจริตยากขึ้น จึงมีแนวโน้มเข้าสู่กิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบมากขึ้น และเป็นการซ้ำเติมปัญหา อันจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติในอนาคตอันใกล้

สำหรับแนวทางการแก้ไขก็ได้เคยมีการนำเสนอกันมาหลายครั้ง และหลายวิธีแต่ก็มักไม่มีการตอบสนอง ส่วนหนึ่งอาจจะมีการล็อบบี้จากผู้ทำธุรกิจสีเทา-สีดำ ที่มีเงินมหาศาล และอาจมีอำนาจทางการเมืองอีกด้วย อีกส่วนหนึ่งก็อาจมีการขัดขวางหน่วงเหนี่ยวโดยเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบนั่นเอง เพราะพวกเขาจะเสียผลประโยชน์จำนวนมาก นั่นคือพวกที่ใส่เครื่องแบบนั่นแหละ

ตัวอย่างประการแรกที่มีการนำเสนอให้มีการนำธุรกิจใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่บนดิน และถูกกฎหมาย อย่างบ่อนการ. หวยใต้ดิน ซึ่งรัฐบาลอาจทำเป็นหวยออนไลน์ หรือ Lotto แบบสหรัฐฯ หรือ แหล่งค้าประเวณี เป็นต้น

การใช้ระบบ Negative Tax System คือ ให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี หากมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐในอัตราที่เหมาะสม ทั้งนี้จะทำให้ระบบภาษีของเราเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการบริหารประเทศอย่างเป็นระบบ

หรือถ้าจะเอาแนวศาสนาอย่างเข้มข้น เช่น การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ต้องมีมาตรการให้ชาวพุทธถือศีล 5 และยกเลิกกิจการอบายมุขทั้งหลาย ทั้งโรงเหล้า ลอตเตอรี่ หรือแหล่งค้ากาม

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่จะถูกต่อต้านทั้งนั้น และอย่างรุนแรงเพราะเศรษฐกิจเงามันมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งประเมินแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ล้านๆบาททีเดียว

นี่แหละเข้าตำราภาษิตจีนที่ว่า “มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้”