ส่องค่าตัวนักแสดงฮอลลีวูดเมื่อสตรีมมิ่งทำลายเพดานค่าจ้าง?

Fern751

  • *****
  • 2163
    • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     


หากย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน เหล่าบรรดาดาราฮอลลีวูดระดับตัวท็อปของวงการมักจะมั่นใจกับรายได้ของตนเองเมื่อภาพยนตร์ที่พวกเขาแสดงติดอันดับบนบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่มาวันนี้เมื่อหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป การวัดความสำเร็จของนักแสดงในปัจจุบันกลับอยู่ที่ยอดวิวใน Netflix หรือข่าวประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ดูหนังทาง HBO Max

การปฏิวัติทางดิจิทัลอาจเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไปแบบพลิกฝ่ามือ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กระทบค่าตัวของนักแสดงคนโปรดของคุณเลย เพราะบรรดานักแสดงตัวท็อปยังคงได้รับค่าตอบแทนเป็นตัวเลขงามๆ แถมบางทียังทำรายได้มากกว่าตอนที่ต้องละมือจากจอเงินมาสู่การสตรีมมิ่งทางจอแก้วเสียอีก

ค่าตัวต่อเรื่องราวๆ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เคยเป็นราคามาตรฐานสำหรับนักแสดงระดับตัวท็อปในปี 1996 สมัยที่ "จิม แคร์รีย์" เคยทำให้ฮอลลีวูดต้องตะลึงด้วยรายได้ดังกล่าวจากภาพยนตร์ตลกแนวดาร์กคอมเมดี้เรื่อง The Cable Guy ซึ่งค่าตัวของเขายังกลายเป็นพาดหัวข่าวดังเพื่อใช้เป็นข่าวโปรโมทภาพยนตร์ตอนที่ออกฉายด้วย

ค่าตัวดังกล่าวกลายเป็นมาตรฐานให้กับนักแสดงจากเรื่องอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากนั้นทั้ง "แซนดรา บูลล็อก" จาก The Lost City of D ของค่าย Paramount, "แบรด พิตต์" จากเรื่อง Bullet Train ของค่าย Sony และ "คริส เฮมสเวิร์ธ" จากเรื่อง Thor : Love and Thunder ของ Disney

นอกจากนั้นมาตราส่วนของค่าธรรมเนียมก็ยังแตกต่างกันออกไปอย่าง คริส ไพน์ จะได้รับเกือบ 11.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำภาพยนตร์ภาคต่อซึ่งเป็นความหวังของ Paramount เรื่อง Dungeons and Dragons รวมไปถึง โรเบิร์ต แพตตินสัน ที่โกยเพิ่มไปอีก 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการกลับมารับบทใน The Batman

หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน เช็คค่าตัวนักแสดงในวันจ่ายเงินนับเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการบอกถึงอันดับในวงการบันเทิง แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อมีรายใหญ่อย่าง Netflix หรือ Amazon รวมถึง สตรีมเมอร์รายอื่นๆมาเสนอเงินให้ในจำนวนมหาศาล

ตัวอย่างเช่น "แดเนียล เคร็ก" ที่พุ่งสู่จุดสูงสุดด้วยข้อเสนอเป็นเงินถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการแสดงภาคต่อ 2 เรื่องใน Knives Out ผลงานที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษของ ไรอัน จอห์นสัน โดยค่าตัวมหาศาลของแดเนียล เครก มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าทาง Netflix ได้จ่ายเงินเป็นค่าชดเชยให้กับนักแสดง ที่ตามปกติมักจะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์หลังภาพยนตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ งานนี้นักแสดงที่กำลังโบกมือลาบท เจมส์ บอนด์ จึงได้รับไปเต็มๆ กับรายได้ที่เป็นตัวเลขถึง 9 หลัก



สมการตัวเลขใหม่นี้ได้กำหนดเพดานค่าตัวนักแสดงให้ถีบขึ้นไปอีกสูงลิ่ว อย่างเช่น ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะร็อก ที่ค่าตัวพุ่งไปที่ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการแสดงในภาพยนตร์คริสต์มาสผจญภัย Red One ของ Amazon Studios ที่คนตั้งตารอชม ซึ่งค่าตัวอาจเพิ่มไปได้ถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ ( ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่าตัวของ แดเนียล เครก ที่ได้รับในการแสดง Knives Out 2 ตอน )

ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ กับค่าตัว 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับค่าตัว 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเรื่อง Don’t Look Up , จูเลีย โรเบิร์ต 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเรื่อง Leave the World Behind ทาง Netflix และ ไรอัน กอสลิง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเรื่อง The Gray Man ทาง Netflix

อย่างไรก็ตามข้อตกลงแบบใหม่นี้นับว่าสร้างความปวดหัวให้กับสตูดิโออย่าง Warner Bros. เป็นอย่างมาก เพราะได้ตัดสินใจที่จะปล่อยภาพยนตร์ทั้งหมดในปี 2021 ทาง HBO Max และในโรงภาพยนตร์ไปพร้อมๆกัน ซึ่งทำให้นักแสดงออกมาปฏิวัติเรียกร้องเรื่องค่าตอบแทนที่ควรจะได้อีกมากมาย

"เดนเซล วอชิงตัน" และ "วิล สมิธ" ได้ค่าตัวกันไปคนละ 40 ล้านเหรียญจากเรื่อง The Little Things และ King Richard ของ Warner Bros. ซึ่งค่าตัวที่ให้ไปได้พิจารณาจากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศที่ลดลงเพราะมีการเปิดสตรีมมิ่งรอบปฐมทัศน์ด้วย

"คีอานู รีฟส์" มีสิทธิ์ได้รับเงินเพิ่มจากเปอร์เซ็นต์หลังหนังฉาย โดยเขยิบจาก 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นเป็น 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากภาพยนตร์ Matrix4 นอกจากนั้น Amazon Studios ยังฝากเงิน 15 ล้านดอลลาร์ไว้ในบัญชีของ ไมเคิล บี. จอร์แดน หลัง Without Remorse ทำรายได้เล็กน้อยให้ Paramount

ส่วนนักแสดงที่เอ็นจอยที่สุดก็ต้องยกให้ "ทอม ครูส" เพราะเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยังชอบวิถีแบบเดิมๆ ที่ต้องได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยก่อนจะได้เป็นเปอร์เซ็นต์หลังจากหนังประสบความสำเร็จ

หมายความว่า "ทอม ครูซ" จะได้เงินส่วนแบ่งแน่ๆโดยคิดเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าฉายไม่รอให้ค่ายหนังทำรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาได้รับโบนัสหลายสิบล้านดอลลาร์มาตลอดสำหรับภาพยนตร์ที่เขาแสดงหลังจากที่หนังทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศมาแล้วไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง

โดยปีนี้เขาได้รับเงินเต็มๆไปแล้วจากค่าตัวในหนังเรื่อง Top Gun Maverick ถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขจะทยานสูงขึ้นหากภาพยนตร์ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉายและได้รับความนิยมจากคนดูจนยอดทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศ (ที่มา : From Daniel Craig to Dwayne Johnson, Inside the Biggest Movie Stars’ Salaries)