'เงินบาท' วันนี้เปิด'อ่อนค่า' สูงสุดรอบ2ปีกว่าที่33.27บาทต่อดอลลาร์

Jenny937

  • *****
  • 1932
    • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     


นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.27 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.24 บาทต่อดอลลาร์ เป็นการอ่อนค่าสูงสุดในรอบ2ปี9เดือน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25 - 33.35 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงแรงซื้อดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเข้ามาเร่งปิดความเสี่ยงเนื่องจากกังวลว่า เงินบาทอาจจะอ่อนค่าเร็วและแรง

เรามองว่า ในระยะสั้น อาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าไปได้ถึง 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หากสถานการณ์การระบาดยังคงเลวร้ายต่อเนื่อง และ เงินดอลลาร์ยังคงมีโมเมนตัมขาขึ้นอยู่ ซึ่งอาจจะหนุนด้วยถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างออกมาสนับสนุนการทยอยลดคิวอีในปีนี้ หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ พลิกกลับมาดีกว่าคาด ในขณะที่ แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะ ยุโรป อาจชะลอตัวลง จากปัญหาการระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ เรายังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ ทำให้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะต้องรอในช่วงต้นเดือนกันยายน

ตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง จากแรงหนุนของรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคลายความกังวลปัญหาการระบาดของเดลต้าหลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ล่าสุด ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 3.84 แสนราย ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดล้วนมีความหวังว่า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานในวันนี้ อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ซึ่งทั้งผลกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าคาดและความกังวลต่อปัญหาการระบาดเดลต้าที่ลดลง ก็หนุนให้ ดัชนี Dowjones พลิกกลับมาปิดบวก+0.78% เช่นเดียวกันกับ ดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวขึ้นราว +0.60% ขณะเดียวกัน หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไปและผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯก็ยังคงสดใส หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.78%


ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้น +0.38% นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังรายงานผลปะกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงออกมาดีต่อเนื่อง SAP +2.19%, Infineon +2.02%, Adyen +1.57% ขณะเดียวกันแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ได้หนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มการบินและกลุ่มธนาคาร Airbus +1.92%, Safran +1.90%, Allianz +1.67%, ING +1.20%


ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบอนด์เริ่มทยอยขายทำกำไรการถือบอนด์ระยะยาวมากขึ้น หลังตลาดการเงินโดยรวมก็กลับมาเปิดรับความเสี่ยง ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดคิวอีได้ในปีนี้ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้นตามคาด ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 4bps สู่ระดับ 1.22% ซึ่งก็ยังคงเป็นระดับที่ต่ำนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา


ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดที่ออกมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่าง การทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังคงช่วยพยุงให้ เงินดอลลาร์สามารถทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก แม้ว่าตลาดจะกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นก็ตาม โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.30 จุด กดดันให้ ค่าเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง สู่ระดับ 1.183 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน(JPY) ก็อ่อนค่าลงแตะระดับ 109.8 จุด ในขณะที่ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) กลับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 1.393 ดอลลาร์ต่อปอนด์ หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และมองว่านโยบายการเงินที่เข้มงวดอาจมีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่ง BOE ก็พร้อมจะลดการอัดฉีดสภาพคล่องในอนาคต

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นสำคัญ โดยการจ้างงานอาจได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่บ้าง แต่โดยรวม ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกรกฎาคม จะเพิ่มขึ้นกว่า 8 แสนตำแหน่ง หนุนให้อัตราว่างงานลดลงเหลือ 5.7% นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยผลประกอบการที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดจะช่วยพยุงบรรยากาศการลงทุนได้

ส่วนในฝั่งเอเชีย ปัญหาการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ จะส่งผลให้เศรษฐกิจในโซนเอเชียมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะสั้น กดดันให้บรรดาธนาคารกลางในเอเชียเลือกที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป โดย ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ก็มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repurchase Rate) ที่ระดับ 4.00% ต่อไป แม้ว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มดีขึ้น หลังเกิด Natural Herd Immunity แต่ก็แลกมาด้วยความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล