‘CIMB’หนุนลงทุนในหุ้นกู้ หนีผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำเรี่ยดิน

fairya

  • *****
  • 1494
    • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
นายภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ พัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน ธุรกิจผลิตภัณฑ์การเงิน และผู้บริหารการขายลูกค้าบุคคลธนกิจ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ระบุ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้าเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยต่ำ และจะเป็นแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสวนทางกับตลาดการเงินทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเสี่ยงที่จะโตช้ากว่าที่คาดไว้ สอดคล้องกับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 ล่าสุด ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อปี ประกอบกับข้อมูลสถิติอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนย้อนหลัง ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


ประกอบกับข้อมูลสถิติอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนย้อนหลัง ของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และถ้ามองย้อนกลับไป 15 ปีที่แล้ว การเก็บเงินออมไว้ในธนาคาร จะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 5% ต่อปี หรือใกล้กว่านั้นเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยังได้รับผลตอบแทนสูงถึง 3% ต่อปี อย่างไรก็ตามในปัจจุบันกลับได้รับผลตอบแทนไม่ถึง 1% ต่อปี ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ ยังคุ้นชินกับการออมแบบนั้น จึงพลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้น 3 เท่า ผ่านทางเลือกการลงทุนอย่างหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นถึง 1.5%-4% ต่อปี


 
ADVERTISEMENT


โดยธนาคารได้เล็งเห็นแล้วว่ามีโจทย์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ จึงเริ่มลงมือบุกเบิกตลาดซื้อขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด หรือหุ้นกู้ตลาดรอง เพื่อให้คนไทยมีทางเลือกการออม ที่ทำให้เงินทำงานหนักขึ้น ในเวลาเท่าเดิม สร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น และเปิดใจให้การลงทุนในหุ้นกู้ อีกทั้งสรรหาหุ้นกู้หลากหลายตัวเลือกในแต่ละวัน หรือ หุ้นกู้ดีดีมีได้ทุกวัน และยังหวังไปถึงว่าตลาดตราสารหนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น และเติบโตมากขึ้นจากนักลงทุนรายย่อย เพื่อเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของทั้งภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

“วันนี้ธนาคารมีส่วนแบ่งตลาด 51% ของตราสารหนี้ตลาดรองสำหรับลูกค้ารายย่อย โดยในปี 2564 นี้ ธนาคารตั้งเป้าหุ้นกู้ตลาดรองอยู่ที่18,000 ล้านบาท และในปี 2565 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 30%” นายภูดินันท์ กล่าว