“บีโอไอ” สนับสนุนพัฒนาวัคซีนสู้โควิด-ลดก๊าซเรือนกระจก-เพิ่มมาตรการส่งเสริมอีวี

Thetaiso

  • *****
  • 2132
    • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     


บอร์ดบีโอไอ ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กับนักลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ได้บีโอไอสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยา พร้อมวางมาตรการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย


น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสำคัญ 3 เรื่อง 1.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและ/หรือยาในประเทศและการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ซึ่งประกอบด้วย 2 เรื่อง ดังนี้

1) ผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสามารถนำเงินสนับสนุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานภาครัฐมาขอสิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Huay Incentives) ได้ กรณีที่เงินสนับสนุนมีมูลค่าอย่างน้อยร้อยละ 1 ของยอดขายของโครงการใน 3 ปีแรกรวมกัน หรืออย่างน้อย 200 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1-3 ปี และเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ จะเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่ายเท่านั้น

2) ผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายเวลาการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการได้สิทธิบีโอไอได้แก่ การผ่อนผันขยายเวลาการดำเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO 9002, CMMI เป็นต้น แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจประเมินที่ล่าช้า หรือไม่สามารถตรวจประเมินในสถานประกอบการได้ โดยขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันครบกำหนดการดำเนินการระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 และการผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ สามารถกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตจากบีโอไอ

2.กระตุ้นไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยขยายขอบข่ายของประเภทกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ให้ครอบคลุมการผลิตแพลตฟอร์มสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Platform) ที่สามารถนำไปใช้งานร่วมกันได้ระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์และรุ่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนวัตถุดิบที่ต้องใช้ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) โดยแพลตฟอร์มต้องประกอบด้วย Energy Storage System, Charging Module และ Front & Rear Axle Module พร้อมกันนี้ ยังเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถจักรยานไฟฟ้า (Electric Bicycle หรือ E-BIKE) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และหากมีการผลิต Traction Motor และ/หรือการผลิตโครงรถจักรยานไฟฟ้าจากวัสดุน้ำหนักเบาภายใน 3 ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกกรณีละ 1 ปี นอกจากนี้ ยังขอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหากมีการวิจัยพัฒนาได้ด้วย

3.ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ดังนี้



1) ขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากให้ครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมตามมาตรการเศรษฐกิจฐานรากออกไปอีก 1 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในปี 2564 เป็นภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2565

2) เพิ่มขอบข่ายมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการย่อยด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ครอบคลุมกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดปริมาณ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระบบทำความเย็นของโรงงานและห้องแช่แข็ง เป็นต้น โดยได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี สัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน

3) การปรับปรุงประเภทกิจการ สิทธิและประโยชน์ใน 2 กิจการคือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Storage and Utilization: CCSU) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และกิจการห้องเย็นหรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น ในกรณีใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี

4) เปิดให้ส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี