นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) (TWPC) ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์วุ้นเส้น และเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2564 และ TWPC ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 146 บริษัทจดทะเบียน อยู่ในกลุ่มหุ้นยั่งยืน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจ ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ อย่างครอบคลุม และยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนทุกด้าน

“ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท ให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลที่ดี ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ อย่างครอบคลุม และยังช่วยลดความเสี่ยง เสริมศักยภาพธุรกิจ แม้ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติโควิด-19 และให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนทุกด้าน โดยไม่ได้มุ่งเน้นแต่เฉพาะเรื่องของกำไรสุทธิแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”


สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่เติบโตขึ้น ราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น และอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากสินค้าทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงต้นปีหน้า และจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2565 และยังคงมั่นใจเป้าหมายยอดขายเติบโตระดับ Double Digit หนุนผลงานปีนี้สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TWPC กล่าวอีกว่า เพื่อร่วมขับเคลื่อนสังคมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ไทยวาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก Thailand Carbon Neutral Network (TCNN) โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่น ชุมชน ในการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมร่วมประกาศเจตนารมณ์ ผ่านสมาคมเครือข่ายโกล.คอมแพ็กแห่งประเทศไทย มุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO) ภายในปี 2050 – 2070 สะท้อนถึงความเข้มแข็งในการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการ ความมุ่งมั่นลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว พร้อมแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างประโยชน์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนตั้งแต่ในระดับโรงงาน สู่ระดับสากล