ทิสโก้ ชี้เฟดเดินเกมการเงินเข้มกว่าคาด หวั่นบอนด์ยีลด์พุ่ง-ฉุดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน


     


ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ชี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณเดินเกมนโยบายการเงินเข้มกว่าตลาดคาด จับตาหาก Bond Yield เด้งแตะ 1.7% อาจฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน แนะจับจังหวะช้อนซื้อหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น รับอานิสงส์กำไรโตดี ราคาหุ้นถูกกว่าสหรัฐ พร้อมทยอยลดน้ำหนักตลาดหุ้นเกิดใหม่

วันที่ 28 กันยายน 2564 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เดือนกันยายนที่ผ่านมา Fed ส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก

คมศร ประกอบผล
คมศร ประกอบผล
ทั้งในแง่ความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐพุ่งขึ้นแรงจาก 1.3% ก่อนการประชุม มาอยู่ที่ 1.45% ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน และแม้ว่าในรอบนี้ตลาดหุ้นยังไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากนัก เนื่องจากได้ปรับฐานลงมาก่อนจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในจีน แต่หาก Bond Yield ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องก็อาจจุดชนวนให้ตลาดปรับฐานอีกครั้งได้


“คณะกรรมการ Fed จำนวน 9 จากทั้งหมด 18 คน สนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า และส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากประชุมครั้งก่อนที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้ง นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ยังส่งสัญญาณว่าในปี 2567 จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 3 ครั้ง สำหรับแผนการลดมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) Fed ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มประกาศลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) ในการประชุมวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2564 และยุติการทำ QE ในกลางปี 2565 กรณีนี้ชี้ว่า Fed จะลดการเข้าสินทรัพย์ลงเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเร็วกว่าตลาดคาดว่าจะลด QE ในอัตราเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายคมศรกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ได้ประเมินโดยใช้แบบจำลอง (Earning Yield Gap Model) พบว่า หาก Bond Yield พุ่งขึ้นเกิน 1.7% ตลาดหุ้นโลกก็มีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของสหรัฐเป็นอย่างมาก

ซึ่งจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในช่วงที่ Fed ปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น พบว่าตลาดหุ้น Emerging Markets มักให้ผลตอบแทนต่ำและให้ผลตอบแทนติดลบ 6 ครั้ง จากทั้งหมด 7 ครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งมากจากแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นที่มักให้ตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ


นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดต่างคาดการณ์กำไรปี 2564 ของตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500) ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ว่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกันราว 7-9% แต่มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นยังเทรดในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐค่อนข้างมาก โดยค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) เทรดในระดับต่ำกว่า (Discount) ตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500) มากถึง -24% และ -29% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ Discount มากสุดในรอบกว่า 10 ปี

จากประเด็นข้างต้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้จึงแนะนำให้นักลงทุนจับตา Bond Yield สหรัฐ อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Emerging Market ลงหาก Bond Yield พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 1.7% และอาจใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นต่อไป